วันฉัตรมงคล

“วันฉัตรมงคล” คือ พระราชพิธีฉลองพระเศวตฉัตร หรือ วันฉัตรมงคล ซึ่งจะกระทำในวันคล้ายวันบรมราชาภิเษก มีความเกี่ยวข้องกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นขั้นตอนตามโบราณราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์ไทยได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการ ด้วยการถวายน้ำอภิเษก โดยแบ่งออกเป็น 2 พระราชพิธีสำคัญคือ 1)พระราชพิธีบรมราชาภิเษก และ 2)พระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร ซึ่ง “วันฉัตรมงคล” ถูกกำหนดวันขึ้นตามวันบรมราชาภิเษก ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช (รัชกาลที่ 9) พระราชพิธีฉัตรมงคลจัดขึ้นทุกวันที่ 5 พฤษภาคม อันเนื่องมาจากว่าทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ซึ่งต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการจัดขึ้นในวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 (วันฉัตรมงคลถูกกำหนดวันขึ้นตามวันบรมราชาภิเษก) และในปีถัดไปจึงถือว่าวันที่ 4 พฤษภาคมเป็นวันฉัตรมงคล

“พิธีบรมราชาภิเษก” พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นการผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมของ “ศาสนาฮินดู” และ “ศาสนาพุทธ” ซึ่งเป็นพิธีที่จัดขึ้นเพื่อ ให้เหล่าเทวดาฟ้าดินรับรู้ว่า บัดนี้จะมีพระมหากษัตริย์หรือพระผู้เป็นเจ้าเกิดขึ้นอีกพระองค์หนึ่งแล้ว โดยพระราชพิธีบรมราชาภิเษกประกอบไปด้วย พระราชพิธีสรงพระมูรธาภิเษก, พระราชพิธีถวายน้ำอภิเษก, พระราชพิธีถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และการสถาปนาพระราชินีและพระราชวงศ์ ส่วนพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร เป็นพระราชพิธีที่จัดขึ้นโดยเหล่าสมาชิกของราชวงศ์ในพระบรมมหาราชวัง ภายหลังจากประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเสร็จสิ้นแล้ว พระมหากษัตริย์จะประทับพระที่นั่งราชยานพุดตานทอง ไปประกาศพระองค์เป็นพุทธมามกะและเสด็จไปสักการะพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมราชบูรพการี

พิธีบรมราชาภิเษก มีปรากฎครั้งแรกนับตั้งแต่สุโขทัย พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย ปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกวัดศรีชุมของพญาลิไทแห่งกรุงสุโขทัย ว่า “พ่อขุนผาเมืองอภิเษกพระสหายคือ พ่อขุนบางกลางท่าว ให้เป็นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ครองกรุงสุโขทัย” แต่ก็ไม่มีการระบุรายละเอียดว่าการประกอบพระราชพิธีในสมัยนั้น มีขั้นตอนอย่างใด   ซึ่งพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทยนั้น จะมีการปรับขั้นตอนตามกาลสมัย

ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) เมื่อขึ้นเสวยราชสมบัติ ได้ทรงทำพระราชพิธีนี้อย่างสังเขป เมื่อ พ.ศ. 2325 ครั้งหนึ่งก่อน แล้วทรงตั้งคณะกรรมการ โดยมีเจ้าพระยาเพชรพิชัย ซึ่งเป็นข้าราชการ ผู้ใหญ่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นประธาน ในการสอบสวนแบบแผนพระราชพิธีบรมราชาภิเษกโดยถี่ถ้วน แล้วตั้งแบบแผนพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นตำรา จากนั้นจึงทรงทำพิธีบรมราชาภิเษกเต็มตำราอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. 2328 และได้ใช้เป็นแบบแผนในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในรัชกาลต่อ ๆ มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งแต่ละรัชกาลก็ได้ปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดเล็กน้อยให้เหมาะแก่กาลสมัย ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แต่เดิมจะใช้ภาษาบาลี, ทมิฬ ต่อมาถูกปรับให้มาเป็นการใช้ภาษาไทย ซึ่งใน รัชกาลที่ 10 พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ถือเป็นครั้งที่ 12 ถัดมาในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร  เมื่อ พ.ศ. 2493 นั้น สำนักพระราชวังได้ยึดถือแบบแผนของการบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มาเป็นแบบอย่าง แต่มีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพบ้านเมืองที่ยังไม่อุดมสมบูรณ์ เพราะเพิ่งผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ได้ประกอบการพระราชพิธีอย่างสมบูรณ์ตามโบราณราชประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติสืบมา โดยพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯ เป็นพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 12